หนึ่งในคำที่ถูกพูดถึงในแวดวงเทคโนโลยีในขณะนี้คือ “เว็บ 3.0” แต่การให้คำจำกัดความที่ชัดเจนคำนี้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเว็บ 3.0 ไม่ใช่แค่เพียงแนวคิดง่ายๆ แต่เป็นการพัฒนาการทำงานและการใช้งานเว็บแบบต่อเนื่องที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาครั้งนี้ก็มีความก้าวหน้าที่ชัดเจน เปรียบเสมือนก้าวกระโดดจากเว็บ 1.0 สู่ 2.0 ที่ทำให้การโต้ตอบระหว่างคอมพิวเตอร์และมนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการพัฒนาของเว็บ 3.0 ที่อยู่ในกระบวนการพัฒนานั้นยิ่งส่งผลให้เกิดน่าสนใจในความก้าวหน้าอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ได้รับการพัฒนาไปตามกาลเวลา และแน่นอนว่า เว็บ 3.0 มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจน และเพื่อให้ทุกคนเข้าใจวิวัฒนาการและความแตกต่างของแต่ละรุ่น สามารถดูจากตารางข้างล่างนี้ที่รวบรวมข้อมูลไว้
วิวัฒนาการของเว็บ
ก่อนที่เราจะเข้าใจความแตกต่างระหว่างเว็บ 2.0 และเว็บ 3.0 อยากให้ทุกคนย้อนไปดูว่าเว็บไซต์ในยุคแรกเริ่มเป็นอย่างไร ก่อนที่จะมาเป็นเว็บ 3.0
เว็บ 1.0 เปรียบเสมือนห้องสมุดออนไลน์ ที่ผู้ใช้งานเว็บส่วนใหญ่ใช้เพื่อค้นหาข้อมูล โดยหน้าเว็บส่วนใหญ่มีเนื้อหาที่คงที่ เน้นการอ่าน ซึ่งเว็บไซต์ได้ถูกจัดทำโดยภาคธุรกิจ องค์กร และรัฐบาล มีบุคคลเพียงไม่กี่คนที่มีส่วนร่วมในเนื้อหาจริงๆ เว็บไซต์เต็มไปด้วยข้อมูล บทความ และหน้าเว็บที่เน้นการนำเสนอ ผู้ใช้ส่วนใหญ่เข้ามาอ่าน ค้นหา และรับข้อมูล ไม่ได้มีการโต้ตอบหรือสร้างเนื้อหาอะไรมากนัก
อะไรคือความแตกต่างระหว่างเว็บ 2.0 และเว็บ 3.0?
เมื่อเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้น เว็บเริ่มมีเปลี่ยนแปลง จนกลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีปฏิสัมพันธ์และเชื่อมโยงสังคมมากขึ้น หลายๆ คนเรียก เว็บ 2.0 ว่าเป็นเว็บโซเชียล เนื่องจากผู้คนใช้โซเชียลมีเดียกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ซึ่งสามารถสื่อสารโต้ตอบกันและสร้างเนื้อหาของตัวเองขึ้นมาได้ด้วยคลังข้อมูลที่มาจากผู้ใช้ ซึ่งการพัฒนาของ เว็บ 2.0 ยังเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับองค์กรสื่อดั้งเดิมและอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
หลายๆ คนสงสัยว่าเว็บ 3.0 แตกต่างจากเว็บ 2.0 อย่างไร และด้วยการพัฒนาเว็บ 3.0 กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเว็บอีกครั้ง อุตสาหกรรมอื่นๆ ก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงด้วยการนำ AI มาใช้ และรวมไปถึง Machine Learning ทำให้เครื่องสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้นและสามารถค้นหาสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยี internet of things และการประมวลผลแบบแพร่หลาย เว็บไม่ได้อยู่แค่บนคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเท่านั้น แต่อยู่รอบตัวเราทั้งหมด เทคโนโลยี Blockchain และฐานข้อมูลกระจาย (Distributed Ledgers) กำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการกระจายข้อมูลและเป็นเจ้าของข้อมูล
เว็บ 3.0 คืออะไร?
หลังจากที่เราได้ศึกษาวิวัฒนาการของเว็บไซต์แล้ว ต่อไปเรามาเจาะลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับเทคโนโลยีและคำจำกัดความของเว็บ 3.0
คำนิยามของเว็บ 3.0
แม้ว่าการนิยามคำว่าเว็บ 3.0 อย่างชัดเจนนั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก แต่โดยพื้นฐานแล้ว เว็บ 3.0 หมายถึงเว็บไซต์อัจฉริยะยุคใหม่ ที่ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้ทุกที่ และเป็นเจ้าของข้อมูลโดยสร้างเนื้อหาต่างๆ ด้วยตัวเองได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีความปลอดภัยสูงด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่มีแนวโน้มที่จะเป็นองค์ประกอบหลักของเว็บ 3.0 มากกว่าแค่สกุลเงินดิจิทัล
ดังนั้นเมื่อมีคนถามว่า “เว็บ 3.0 จะเปิดตัวเมื่อไหร่?” คำตอบก็คือ ไม่สามารถระบุวันเวลาที่ชัดเจนได้ เพราะในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันเว็บ 3.0 บางตัวที่มีอยู่แล้ว เช่น Siri ของ Apple และแอปพลิเคชันจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ของ Filecoin แต่ยังคงเป็นส่วนเสริมเล็กน้อยของเว็บ 3.0 โดยมีเว็บ 2.0 เป็นหลัก
ฟีเจอร์หลักที่สำคัญของเว็บ 3.0
- AI และ Machine Learning ฟีเจอร์นี้เชื่อมโยงกลับไปสู่แนวคิดเว็บเชิงความหมายของ Tim Berners-Lee ซึ่งหมายความว่า คอมพิวเตอร์มีความสามารถในการทำความเข้าใจภาษาและแม้กระทั่งอารมณ์ของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น โดยสิ่งนี้จะส่งผลทำให้เครื่องมือสามารถวิเคราะห์และจัดกลุ่มข้อมูลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น โดยผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ตรงตามความต้องการและมีความละเอียดมากขึ้น และสามารถทำนายสถานการณ์และตัดสินใจจากข้อมูลได้
- เทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้เป็นเพียงแค่สกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการกระจาย อำนาจและการกระจายข้อมูล ข้อมูลจะถูกจัดเก็บบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์หลายเครื่อง แทนที่จะอยู่บนเซิร์ฟเวอร์กลาง ส่งผลให้ผู้ใช้มีอำนาจควบคุมข้อมูลของตนเองมากขึ้น มีความยากต่อการปลอมแปลงช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลมีความปลอดภัยและโปร่งใส และสามารถติดตามที่มาของข้อมูลได้ ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูล นั่นหมายความว่าไม่มีหน่วยงานใดสามารถควบคุมข้อมูลดังกล่าวได้ ดังนั้นรัฐบาลจะไม่สามารถปิดการเข้าถึงข้อมูลได้
- Ubiquitous Computing และ the Internet of Things (IoT) ฟังดูซับซ้อน แต่โดยพื้นฐานแล้วหมายความว่าอุปกรณ์ต่างๆ จะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น ไม่เพียงแค่เชื่อมต่อกับเว็บผ่านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนเท่านั้น ผู้ใช้สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าคุณจะใช้ตู้เย็นอัจฉริยะ กริ่งประตู รถยนต์ที่มีเซ็นเซอร์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต หรือ Alexa ของ Amazon เหล่านี้คือตัวอย่างทั้งหมดของเว็บที่ก้าวไปไกลกว่าอุปกรณ์แบบเดิมๆ
ผลกระทบของเว็บ 3.0 ต่อการพัฒนาแอปพลิเคชันมือถือและเว็บแอปพลิเคชัน
เมื่อเว็บ 3.0 ได้ถูกพัฒนาขึ้น สิ่งที่สำคัญคือการทำงานร่วมกับนักพัฒนาที่เข้าใจเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น Blockchain ฐานข้อมูลกระจาย (Distributed Ledgers) และ Machine Learning ปัจจุบันสิ่งเหล่านี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และพัฒนา ดังนั้นอุปกรณ์บางอย่างยังไม่สามารถรองรับ และใช้งานคู่กันได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้ และความเข้าใจเป็นอย่างที่ดีเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็น
เราคาดการณ์ว่าแนวโน้มเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน และแอปพลิเคชันมือถือในอนาคคอย่างแน่นอน
- Decentralization – นักพัฒนาจะต้องปรับตัวเพื่อสร้างแอปพลิเคชันบนเครือข่ายแบบ Decentralization หรือ Blockchain แทนที่พวกเขาสร้างและปรับใช้บนเครือข่าย Centralized ตามสถานการณ์ปัจจุบัน
- Edge Computing – ด้วยอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในมือของผู้ใช้ กระบวนการประมวลผลบางอย่างที่เคยดำเนินการในศูนย์ข้อมูล สามารถเปลี่ยนไปประมวลผลบนอุปกรณ์ของผู้ใช้เองได้ ส่งผลให้ นักพัฒนาไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้อจำกัดของแบนด์วิธมากนักในขณะพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่
- Many protocols – ด้วยมีความหลากหลายของ Blockchain และสกุลเงินดิจิทัล จึงมี protocols ที่แตกต่างกันมากมายที่นักพัฒนาต้องเรียนรู้และนำไปใช้
- การยืนยันตัวตน – เนื่องจากผู้ใช้บางรายเริ่มมีสิทธิ์การเป็นเจ้าของข้อมูลประจำตัวดิจิทัลของตนเองและจัดเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ในกระเป๋าเงินดิจิทัล แทนที่จะสร้างโปรไฟล์โซเชียลมีเดียแยกสำหรับแต่ละเว็บไซต์ นักพัฒนาจะต้องปรับใช้วิธีการดำเนินการตรวจสอบสิทธิ์และยืนยันตัวตนเหล่านี้
ที่บริษัท Manao Software เรามีประสบการณ์ในการพัฒนาแอปโทเค็นและพร้อมที่จะหารือเกี่ยวกับคำถามและโปรเจ็กต์เกี่ยวกับเว็บ 3.0 ของคุณ คุณสามารถ ติดต่อหาเรา ตอนนี้เพื่อรับคำปรึกษาฟรีได้เลย
เว็บ 3.0 และ Blockchain
คนส่วนใหญ่มักจะคุ้นเคยกับ Blockchain ที่เป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่มีแนวโน้มที่ Blockchain จะกลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการพัฒนาเว็บ 3.0 ซึ่งไม่เพียงเกี่ยวข้องเรื่องสกุลเงินดิจิทัลเท่านั้น
เทคโนโลยี Blockchain และเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledgers) ช่วยให้เกิดการกระจายศูนย์ของข้อมูลและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยผู้ใช้ทุกคนจะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของและควบคุมข้อมูลของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบการสื่อสารแบบ peer-to-peer ที่ปลอดภัยและโปร่งใสจะช่วยให้ต่อรองอำนาจบางส่วนกลับคืนมาจากเว็บ 2.0 เช่น Facebook, Google และ Amazon
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เติบโตอย่างรวดเร็วคือ Non-Fungible Tokens (NFT) ซึ่งเป็นโทเค็นดิจิทัลที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่แสดงถึงสินทรัพย์ในโลกแห่งความเป็นจริงหรือสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น งานศิลปะ หรือแม้แต่อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการเข้ามาของเว็บ 3.0 นั้นจะทำให้การจัดการในเรื่องของสินทรัพย์ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้นในการแสดงความเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ไม่เหมือนใคร แม้ว่ากระแสความนิยมในปัจจุบันของการขายงานศิลปะดิจิทัลผ่าน NFT อาจเป็นเพียงแฟชั่นชั่วคราว (แม้ว่าผู้ที่ลงทุนอย่างหนักในเทคโนโลยีนี้หลายคนอาจไม่เห็นด้วย) แต่แนวคิดของ NFT นั้นมีประโยชน์ที่ประยุกต์ใช้งานจริงในโลกแห่งความจริงมากมาย ซึ่งหมายความว่าเทคโนโลยีนี้มีแนวโน้มที่จะอยู่กับเราต่อไป ปัจจุบัน NFT ส่วนใหญ่ใช้ Ethereum blockchain
การใช้ Blockchain เพื่อสร้างสัญญาอัจฉริยะเป็นอีกเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต โดยมีผู้คนมากมายพัฒนาเทคโนโลยีนี้ไปใช้สำหรับธุรกิจ หรืออุตสาหกรรมต่างๆ สัญญาอัจฉริยะสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่ธนาคารและประกันภัย ไปจนถึงโลจิสติกส์และเภสัชกรรม สัญญาอัจฉริยะเหล่านี้จะทำงานเมื่อตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น โดยมีความโปร่งใสและปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่นบริษัท IBM ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อติดตามยาควบคุมอุณหภูมิผ่านตลอดกระบวนการผลิต เพื่อให้ทุกคนในกระบวนการผลิตสามารถติดตามบรรจุภัณฑ์ ได้อย่างชัดเจนตลอดกระบวนการ